วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555
รายการ English On Tour
แบบทดสอบ
คำชี้แจง : ให้นักเรียนหาความหมายของคำศัพท์ต่อไปนี้
1. How much is this?...............................................
2. How much are these?..........................................
3. That's cheap.......................................................
4. That's expensive.................................................
5. I'm looking for....................................................
6. Buy one get one please........................................
7. Buy one get half price..........................................
8. Half price............................................................
9. Price cost............................................................
10. Station..............................................................
11. Ticket machine..................................................
12. Ticket office......................................................
13. Book store........................................................
14. Pet zone............................................................
15. Furniture zone....................................................
16. Fashion zone.....................................................
17. Food zone........................................................
18. Playground.........................................................
19. Lamp...................................................................
20. Have you got anything cheaper?............................
วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555
การสังเกตการเรียนการสอน ณ โรงเรียนฤทธิณรงค์รอน
ประวัติโรงเรียนฤทธิรรงค์รอน
- หลังจากร้อยเอกหลวงฤทธิณรงค์รอนถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2487 คุณนายแจ่ม แสงมณี ภรรยาคนที่สองได้มอบที่ดิน 6 ไร่ 2 งาน 72 ตารางวา พร้อมบ้านทรงยุโรป 2 ชั้น 1 หลังซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของ ร้อยเอกหลวงฤทธิณรงค์รอนให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ
- กรมสามัญศึกษาสมัยนั้นได้ก่อตั้งโรงเรียนขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวชื่อว่า โรงเรียนฤทธิณรงค์รอน ในปี พ.ศ. 2510 เปิดทำการสอนนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ( ป.5-ป.7 )
- ปี พ.ศ. 2521 ได้รับอนุญาตให้เปิดทำการสอนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา และได้ โอนนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายให้แก่โรงเรียนวัดสังข์กระจาย
วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555
Present Perfect Tense
รูปแบบ
Subject + have/has + Verb (กริยาช่องที่ 3) + Object หรือส่วนขยาย
จากที่กล่าวมาแล้วว่า ภาษาอังกฤษเน้นว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไร ใน Present Perfect Tense เน้นว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไร เพิ่งจะสิ้นสุด หรือกำลังดำเนินต่อไป
หลักเกณฑ์การใช้ Present Perfect Tense
1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต และยังคงดำเนินติดต่อมาถึงปัจจุบัน
2. แสดงการกระทำที่เพิ่งเกิดขึ้น และเพิ่งสำเร็จ ผลของการกระทำยังปรากฎอยู่
Adverb of time ที่แสดงว่าเป็น Present Perfect Tense ได้แก่
since | ตั้งแต่ เวลาหน่งจนถึงอีกเวลาหนึ่ง |
yet | ยัง |
for | เป็นเวลานานเท่านไร |
so far | จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ |
just | เพิ่งจะ |
already | เรียบร้อยแล้ว |
ever | เคย |
never | ไม่เคย |
several times | หลายครั้งแล้ว |
over and over | ครั้งแล้วครั้งเล่า |
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่เคยหรือไม่เคยทำในอดีต ซึ่งมิได้บ่งบอกเวลาที่แน่นอนเอาไว้ และมักจะมีคำวิเศษณ์ คือ ever, never, once, twice มาใช้ร่วมเสมอ เช่น
- I have never seen him before. (ฉันไม่เคยเจอเขามาก่อน )
- Have you ever been abroad? (คุณเคยไปต่างประเทศหรือเปล่า?)
- She has been to London twice. (เธอเคยไปลอนดอน 2 ครั้ง)
รูปแบบประโยค
1. ประโยคบอกเล่า
ใช้ have/has + Verb ช่อง 3
ตัวอย่าง
Jack and Jill have already finished their homework.
My father has just washed his hands.
2. ประโยคปฏิเสธ
เติม not หลัง have/has
ตัวอย่าง
I have not read this book yet.
He has not seen her for a long time.
3. ประโยคคำถาม
ย้าย have/has มาหน้าประธาน
ตัวอย่าง
Have you written to your sister?
Has he lived in London since 1999?
ตอบคำถาม ด้วย “Yes” หรือ “No” โดยการใช้กริยาช่วย hasn’t (has not) หรือ haven’t (have not)
ตัวอย่าง
Have you lived in this house?
Yes, I have. หรือ Yes, I have lived here.
No, I haven’t. หรือ No, I haven’t lived here.
Has he ever gone to London ?
Yes, he has. หรือ Yes, he has ever gone there.
No, he hasn’t. หรือ No, he has never gone there.
แบบฝึกหัด จงเปลี่ยนคำกริยาที่ให้ไว้เป็น Present Perfect Tense แล้วเติมในช่องว่าง
1. He …………………….. me for many years. (meet)
2. I ……………………… many interesting places. (visit)
3. Our family …………………… here since 2000. (live)
4. I …………………. for this project for a week. (work)
5. Billy is ill. He …………………….. ill for the last few days. (be)
6. My brother …………………….. up smoking. (give)
7. He …………………….. his shoes. (clean)
8. They stay at home. They are going out.
They ………………………. out. (go)
9. I’m looking for Patty. ………… you …………… her? (see)
10. A: “Can I have this newspaper?”
B: “Yes, I ………………………….. with it.” (finish)
เฉลยแบบฝึกหัด จงเปลี่ยนคำกริยาที่ให้ไว้เป็น Present Perfect Tense แล้วเติมในช่องว่าง
1. He has met me for many years. (meet)
2. I have visited many interesting places. (visit)
3. Our family has lived here since 2000. (live)
4. I have worked for this project for a week. (work)
5. Billy is ill. He has been ill for the last few days. (be)
6. My brother has given up smoking. (give)
7. He has cleaned his shoes. (clean)
8. They stay at home. They are going out.
They have gone out. (go)
9. I’m looking for Patty. Have you seen her? (see)
10. A: “Can I have this newspaper?”
B: “Yes, I have finished with it.” (finish)
Present Continuous/Progressive Tense
ในช่วงเวลาปัจจุบัน จะมี ณ เวลาหนึ่งที่เรากำลังทำอะไรอยู่ ช่วงเวลานั้นจะใช้ Present Continuous/Progressive Tense
มีรูปแบบดังนี้
บอกเล่า Subject + is / am / are + V.ing
คำถาม Is / Am / Are + Subject + V.ing?
ปฏิเสธ Subject + is / am / are + not + V.ing
Verb to be ใน Present Simple Tense จะเป็นกริยาแท้ของประโยค แต่ Verb t be ใน Present Continuous/ Progressive Tense เป็นกริยาช่วย กริยาแท้ที่แสดงอาการคือ Verb ที่เติม ing เช่น
I am a student. ฉันเป็นนักเรียน
I am walking. ฉันกำลังเดิน
Adverbs of Time ที่บอกจุดเวลานั้น ได้แก่
now | เวลานี้, เดี๋ยวนี้ |
at present | ปัจจุบันนี้ |
right now | ขณะนี้, เดี๋ยวนี้ |
at this time | ขณะนี้ |
at this moment | ตอนนี้ |
เป็นต้น |
การทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธใน Present Continuous/Progressive Tense
สามารถทำให้เป็นประโยคปฏิเสธได้โดยการเติม not หลัง verb to be ทันที
ประโยคบอกเล่า (Affirmative) | ประโยคปฏิเสธ (Negative) |
I am studying English now. | I am not studying English now. |
She is studying English now. | She is not studying English now. |
They are sitting in the room now. | They are not sitting in the room now. |
การทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคำถามใน Present Continuous/Progressive Tense
สามารถทำให้เป็นประโยคคำถามได้โดยการนำ verb to be มาวางไว้หน้าประธาน แล้วใส่เครื่องหมายคำถาม (question mark) ที่ท้ายประโยค
ประโยคบอกเล่า (Affirmative) | ประโยคคำถาม (Question) |
I am studying English now. | Are you studying English now?* |
She is studying English now. | Is she studying English now? |
They are sitting in the room now. | Are you sitting in the room now? |
* หมายเหตุ ถ้าประธานเป็น I เวลาตั้งคำถามจะเปลี่ยนจาก I เป็น You ซึ่งกริยาก็ต้องเปลี่ยนจาก am เป็น are
การตอบคำถามของประโยคคำถามชนิดนี้จะต้องตอบด้วย Yes หรือ No ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ประโยคคำถาม (Question) | ประโยคคำตอบแบบสมบูรณ์ (Full Answer) | ประโยคคำตอบสั้น (Short Answer) |
Are you studying English now? | Yes, she is studying English now. | Yes, she is. |
Is he studying English now? | No, he isn’t studying English now. | No, he isn’t. |
Are they sitting in the room now? | No, they aren’t sitting the room now. | No, they aren’t. |
บททบทวน Present Continuous/Progressive Tense
รูปแบบ ประธาน + V. to be + V. ing + กรรม หรือส่วนขยาย
ส่วนที่ 1: รูปประโยคบอกเล่า
1. I (study) ………………………….. English right now.
2. They (study) ………………………….. English right now.
3. She (study) ………………………….. English right now.
4. We (study) ………………………….. English right now.
ส่วนที่ 2: รูปประโยคปฏิเสธ
1. I (study, not) ………………………….. English right now.
2. They (study, not) ………………………….. English right now.
3. She (study, not) ………………………….. English right now.
4. We (study, not) ………………………….. English right now.
ส่วนที่ 3: รูปประโยคคำถาม
1. (you, study) ………………………….. English right now?
2. (they, study) ………………………….. English right now?
3. (she, study) ………………………….. English right now?
4. (we, study) ………………………….. English right now?
เฉลยบททบทวน
ส่วนที่ 1: รูปประโยคบอกเล่า
1. I (study) am studying English right now.
2. They (study) are studying English right now.
3. She (study) is studying English right now.
4. We (study) are studying English right now.
ส่วนที่ 2: รูปประโยคปฏิเสธ
1. I (study, not) am not studying English right now.
2. They (study, not) are not studying English right now.
3. She (study, not) is not studying English right now.
4. We (study, not) are not studying English right now.
ส่วนที่ 3: รูปประโยคคำถาม
1. Are you studying English right now?
2. Are they studying English right now?
3. Is she studying. English right now?
4. Are we studying English right now?
วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554
Present Simple Tense
จากที่เกริ่นไว้ว่า Tense ก็เหมือนชีวิตของเรา และเรามักจะพูดว่าเราควรจะสนใจกับปัจจุบัน อย่าจมอยู่กับอดีต และอย่ากังวลกับอนาคต เป็นคำกล่าวที่สามารถนำมาปรับใช้กับการเรียน Tense ได้ดีที่สุด เพราะใน Tense ทั้งหมด Tense ที่ขึ้นต้นว่า “Present” จะต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับกริยา ซึ่งเราจะต้องระวังให้ดี
ก่อนจะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับกริยาต้องรู้ว่าเมื่อไรจะเป็น Present Simple Tense ง่าย มาก ถ้าเทียบกับภาษาไทย ถ้าเรากล่าวถึงสิ่งที่เป็นความจริง สิ่งที่เราทำเป็นประจำหรือบ่อยๆ สิ่งเหล่านี้ไม่มีความเป็นอดีตหรืออนาคต ก็ใช้กริยาปัจจุบันกาล ดังรายละเอียดต่อไปนี้
หลักการใช้ Present Simple Tense
1. | ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวัน หรือเป็นการกระทำที่ทำซ้ำอยู่เสมอ มักจะมีคำแสดงเวลาร่วมอยู่ด้วย เช่น |
They go to school everyday*. | |
The bus comes every* ten minutes. | |
2. | ใช้กับเหตุการณ์ที่บ่งถึงการกระทำที่เป็นปกตินิสัย เช่น |
She usually* gets up at 7 o’clock. | |
He always* talks in class. | |
3. | ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปรากฎการณ์ต่าง ๆ หรือประเพณี เช่น |
The sun shines by day. | |
The earth moves around the sun. | |
We have a holiday on Christmas Day. |
* คือ Adverbs of Frequency (คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้แสดงความถี่และความบ่อย) ซึ่งจะเป็น Key Word ว่าประโยคนี้ต้องเป็น Present Simple Tense และกริยาก็ต้องมีความสัมพันธ์กับประธาน
Adverbs of Frequency แบ่งเป็น
1. Adverbs of Frequency - ชนิดคำเดียว
คำกริยาวิเศษณ์เหล่านี้จะวางไว้หน้ากริยาแท้ หรือ ตามหลัง V. to be
always | เสมอ ๆ หรือเป็นประจำ |
almost always | เกือบประจำ |
usually | ตามปกติ |
often | บ่อย ๆ |
sometimes | บางครั้ง บางคราว |
occasionally | บางโอกาส |
generally | โดยปกติ, โดยทั่วไป |
seldom | นาน ๆ ครั้ง, ไม่ใคร่จะ |
rarely | แทบจะไม่ |
almost never | แทบไม่เคย |
never | ไม่เคย |
2. Adverbs of Frequency - ชนิดกลุ่มคำ
คำกริยาวิเศษณ์เหล่านี้จะวางไว้ท้ายประโยค
once a week | 1 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์ |
many times | หลายครั้ง |
everyday | ทุก ๆ วัน |
twice a year | 2 ครั้งต่อ 1 ปี |
several times | หลายครั้ง |
now and again | ซ้ำแล้วซ้ำอีก |
never | ไม่เคย |
จากที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า “Present” จะต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับกริยา ดังนั้น มาดูว่ามีความสัมพันธ์อย่างไร
ประธานเอกพจน์
ประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 1 คือ I กริยาถ้าเป็น Verb to be ใช้ am Verb to have ใช้ have แต่ถ้าเป็นกริยาอื่นไม่ต้องเติม “s”
ประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 2 คือ You กริยาถ้าเป็น Verb to be ใช้ are Verb to have ใช้ have แต่ถ้าเป็นกริยาอื่นไม่ต้องเติม “s” เช่นกัน
ประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 คือ He, She, It หรือเป็นคำนามทั่วไป เช่น A man, A lady, A dog หรือเป็นคำนามชี้เฉพาะ เช่น Jack, Jane, Jeff กริยาถ้าเป็น Verb to be ใช้ is Verb to have ใช้ has แต่ถ้าเป็นกริยาอื่นต้องเติม “s” หรือ “es” ตามกฎไวยากรณ์ประธานพหูพจน์
ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ไม่ว่าจะเป็นบุรุษที่ 1, 2, 3 คือ We, You, They หรือเป็นคำนามทั่วไป เช่น Men, Ladies, students กริยาถ้าเป็น Verb to be ใช้ are Verb to have ใช้ have แต่ถ้าเป็นกริยาอื่นไม่ต้องเติม “s”
สรุปการใช้ Verb to be ให้สอดคล้องกับประธาน
ประธาน (Subject) เอกพจน์ (Singular) | V. to be | ประธาน (Subject) พหูพจน์ (Plural) | V. to be | |
บุรุษที่ 1 | I | am | We | are |
บุรุษที่ 2 | You | are | You | are |
บุรุษที่ 3 | He/She/It | is | They | are |
Mother/Cat | Students/Cats |
เช่น | I am a teacher. |
You are a student. | |
Kim is a doctor. | |
We are Thais. | |
You are students. | |
They are boys. |
ประธาน (Subject) เอกพจน์ (Singular) | V. to have | ประธาน (Subject) พหูพจน์ (Plural) | V. to have | |
บุรุษที่ 1 | I | have | We | have |
บุรุษที่ 2 | You | have | You | have |
บุรุษที่ 3 | He/She/It | has | They | have |
Mother/Cat | Students/Cats |
เช่น | I have a letter. |
You have a pen. | |
Jim has a headache. | |
We have a fever. | |
You have many friends. | |
They have many books. |
1. คำกริยาชนิดธรรมดา ให้เติม “s” ที่ท้ายคำกริยาได้ทันที เช่น
walk | - | walks | เดิน |
speak | - | speaks | พูด |
eat | - | eats | กิน |
hit | - | hits | ตี |
run | - | runs | วิ่ง |
เช่น | I have a letter. |
You have a pen. | |
Jim has a headache. |
go | - | goes | ไป |
push | - | pushes | ผลัก |
mix | - | mixes | รวม, ผสม |
watch | - | watches | ดู |
pass | - | passes | ผ่าน |
wash | - | washes | ล้าง, ซัก |
เช่น | She does her homework. |
My father watches TV every night. |
study | - | studies | เรียน |
cry | - | cries | ร้องไห้ |
try | - | tries | พยายาม |
fly | - | flies | บิน |
hurry | - | hurries | รีบร้อน |
เช่น | He studies English. |
That baby cries loudly. |
play | - | plays | เล่น |
buy | - | buys | ซื้อ |
say | - | says | พูด |
stay | - | stays | อาศัย, พัก |
1. | ประโยคบอกเล่าที่มี verb to be สามารถทำให้เป็นประโยคปฏิเสธได้โดยการเติม not หลัง verb to be ทันที |
ประโยคบอกเล่า (Affirmative) | ประโยคปฏิเสธ (Negative) |
She is a nurse. | She is not a nurse. |
They are in the room. | They are not in the room. |
2. | ประโยคบอกเล่าที่มี has หรือคำกริยาที่เติม s, es สามารถทำให้เป็นประโยคปฏิเสธได้โดยใช้ does not (doesn’t) วางระหว่างประธานและกริยาแท้ และกริยาแท้ต้องเปลี่ยนจาก has เป็น have หรือต้องตัด s, es ออกเพื่อกลับไปใช้กริยาช่องที่ 1 ตามเดิม |
ประโยคบอกเล่า (Affirmative) | ประโยคปฏิเสธ (Negative) |
She has a pen. | She does not have a pen. |
Mac works everyday. | Mac does not work everyday. |
A baby cries everyday. | A baby does not cry everyday. |
John teaches English. | John does not teach English. |
3. | ประโยคบอกเล่าที่มี have หรือคำกริยาที่ไม่เติม s, es สามารถทำให้เป็นประโยคปฏิเสธได้โดยใช้ do not (don’t) วางระหว่างประธานและกริยาแท้ |
ประโยคบอกเล่า (Affirmative) | ประโยคปฏิเสธ (Negative) |
We have breakfast at 7.30. | We do not have breakfast at 7.30. |
They play games everyday. | They do not play games everyday. |
The cats sleep on a bed. | The cats do not sleep on a bed. |
1. | ประโยคบอกเล่าที่มี verb to be สามารถทำให้เป็นประโยคคำถามได้โดยการนำ verb to be มาวางไว้หน้าประธาน แล้วใส่เครื่องหมายคำถาม (question mark) ที่ท้ายประโยค |
ประโยคบอกเล่า (Affirmative) | ประโยคคำถาม (Question) |
She is a nurse. | Is she is a nurse? |
They are in the room. | Are they in the room? |
2. | ประโยคบอกเล่าที่มี has หรือคำกริยาที่เติม s, es สามารถทำให้เป็นประโยคคำถามได้โดยนำ does วางไว้หน้าประธาน และกริยาแท้ต้องเปลี่ยนจาก has เป็น have หรือต้องตัด s, es ออกเพื่อกลับไปใช้กริยาช่องที่ 1 ตามเดิม แล้วใส่เครื่องหมายคำถาม (question mark) ที่ท้ายประโยค |
ประโยคบอกเล่า (Affirmative) | ประโยคคำถาม (Question) |
She has a pen. | Does she have a pen? |
Mac works everyday. | Does Mac work everyday? |
A baby cries everyday. | Does a baby cry everyday? |
Jeff teaches English. | Does Jeff teach English? |
3. | ประโยคบอกเล่าที่มี have หรือคำกริยาที่ไม่เติม s, es สามารถทำให้เป็นประโยคคำถามได้โดยนำ Do วางไว้หน้าประธาน แล้วใส่เครื่องหมายคำถาม (question mark) ที่ท้ายประโยค |
ประโยคบอกเล่า (Affirmative) | ประโยคคำถาม (Question) |
We have breakfast at 7.30. | Do we have breakfast at 7.30? |
They play games everyday. | Do they play games everyday? |
The cats sleep on a bed. | Do the cats sleep on a bed? |
ประโยคคำถาม (Question) | ประโยคคำตอบแบบสมบูรณ์ (Full Answer) | ประโยคคำตอบสั้น (Short Answer) |
Is she a nurse? | Yes, she is a nurse. | Yes, she is. |
Does he have a dog? | Yes, he has a dog. | Yes, he does |
Do you walk to school? | Yes, I walk to school. | Yes, I do. |
Are they post officers? | No, they aren’t post officers. | No, they aren’t. |
1. Sara (read, reads) her students’ report everyday.
2. A bird (flies, fly) in the sky.
3. My mother (give, gives) me some money.
4. The police officers (catch, catches) the thieves.
5. My sister (makes, make) cookies.
6. Children (drink, drinks) milk everyday.
7. Jack often (eats, eat) noodles.
8. Jenny (brush, brushes) her hair.
9. He (studies, study) English everyday.
10. All students (pass, passes) the examination.
แบบฝึกหัดที่ 2 ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกที่สุด
1. | Mike ___________ to the radio every morning. | |
a. listen | b. listened | |
c. listens | d. listening |
2. | She ___________ to Nancy and Samantha once a week. | |
a. talk | b. talks | |
c. talked | d. talking |
3. | They always ___________ the newspapers. | |
a. read | b. talks | |
c. talked | d. talking |
4. | Jenny ___________ to the beach every weekend. | |
a. go | b. went | |
c. goes | d. going |
5. | Mr. Smith ___________ in the factory. | |
a. works | b. work | |
c. worked | d. working |
6. | The earth ___________ around the sun. | |
a. move | b. moves | |
c. moved | d. moving |
7. | Water ___________ at 32 Fahrenheit. | |
a. freeze | b. freezes | |
c. froze | d. freezing |
8. | The students often ___________ hard every weekends. | |
a. study | b. studied | |
c. studies | d. studying |
9. | William ___________ his parents once a month. | |
a. visit | b. visits | |
c. visited | d. visiting |
10. | Tom ___________ young students. | |
a. teach | b. taught | |
c. teaches | d. teaching |
1. Sara (read, reads) her students’ report everyday.
2. A bird (flies, fly) in the sky.
3. My mother (give, gives) me some money.
4. The police officers (catch, catches) the thieves.
5. My sister (makes, make) cookies.
6. Children (drink, drinks) milk everyday.
7. Jack often (eats, eat) noodles.
8. Jenny (brush, brushes) her hair.
9. He (studies, study) English everyday.
10. All students (pass, passes) the examination.
เฉลยแบบฝึกหัดที่ 2 ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกที่สุด
1. | Mike ___________ to the radio every morning. | |
a. listen | b. listened | |
c. listens | d. listening |
2. | She ___________ to Nancy and Samantha once a week. | |
a. talk | b. talks | |
c. talked | d. talking |
3. | They always ___________ the newspapers. | |
a. read | b. talks | |
c. talked | d. talking |
4. | Jenny ___________ to the beach every weekend. | |
a. go | b. went | |
c. goes | d. going |
5. | Mr. Smith ___________ in the factory. | |
a. works | b. work | |
c. worked | d. working |
6. | The earth ___________ around the sun. | |
a. move | b. moves | |
c. moved | d. moving |
7. | Water ___________ at 32 Fahrenheit. | |
a. freeze | b. freezes | |
c. froze | d. freezing |
8. | The students often ___________ hard every weekends. | |
a. study | b. studied | |
c. studies | d. studying |
9. | William ___________ his parents once a month. | |
a. visit | b. visits | |
c. visited | d. visiting |
10. | Tom ___________ young students. | |
a. teach | b. taught | |
c. teaches | d. teaching |
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)